เลือกแบตเตอรี่ ให้เหมาะสม ต้องดูอะไรบ้าง?
>>> ดูขนาด (Size) และค่าแอมป์ (Ah) ของแบตเตอรี่ ให้เหมาะสมกับรถยนต์ของเรา เช่น
ขนาด B19, LN1 ค่าแอมป์ประมาณ 35-45 เหมาะกับรถยนต์ที่มีเครื่องยนต์ขนาดเล็ก (1,000 - 1,500 cc)
ขนาด B24, D23, D26, LN2 ค่าแอมป์ประมาณ 45-70 เหมาะกับรถยนต์ที่มีเครื่องยนต์ขนาดกลาง (1,500 - 2,400 cc)
ขนาด D31, D32, LN3, LN4, LN5 ค่าแอมป์ประมาณ 70-100 เหมาะกับรถยนต์ที่มีเครื่องยนต์ขนาดใหญ่ (2,400 cc ขึ้นไป)
>>> ลักษณะขั้ว แบตเตอรี่ (Battery Terminal)
โดยปัจจุบัน แบตเตอรี่รถยนต์จะมีลักษณะขั้วแบตฯ อยู่ 2 แบบ คือ ขั้วลอย (JIS) และ ขั้วจม (DIN)
เราควรเลือกใช้ตามแบตเตอรี่ลูกเดิม เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นหากใช้ขั้วแบตฯ ผิดแบบ
>>> กำลังการสตาร์ท (CCA)
เลือกแบตเตอรี่ที่มีค่ากำลังสตาร์ทเหมาะสม อาจพิจารณาจากขนาดรถยนต์และอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ ของรถยนต์แต่ละรุ่น
โดยอย่างน้อยให้มีค่า CCA เทียบเท่าแบตเตอรี่ติดรถยนต์มาจากโรงงาน
>>> ระบบช่วยต่างๆ ในรถยนต์รุ่นใหม่ๆ
มีความสำคัญอย่างมาก เพราะระบบช่วยต่างๆ เหล่านี้ เช่น ระบบตัดการทำงานอัตโนมัติเมื่อรถหยุดนิ่ง (ISS: Idling Start-Stop System) ที่ช่วยให้รถยนต์ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงและลดการปล่อยมลพิษ
จำเป็นต้องใช้ร่วมกับแบตเตอรี่ที่สามารถรองรับการทำงานได้สมบูรณ์ โดยแบตเตอรี่ที่มีความเหมาะสมใช้งานร่วมกับระบบ ISS ที่สุด คือ แบตเตอรี่ EFB (Enhance Flooded Battery)
ที่สามารถรองรับการสตาร์ทบ่อยครั้งและมีประสิทธิภาพการชาร์จไฟกลับได้ดีกว่าแบตเตอรี่แบบธรรมดา
>>> ลักษณะการใช้งาน
พิจารณาจากรูปแบบการใช้งาน เช่น รถใช้งานหนัก วิ่งทางไกลยาวๆ ก็อาจเลือกใช้แบตเตอรี่น้ำ ที่มีความทนทานสูง แต่ผู้ใช้ต้องคอยหมั่นดูแลน้ำกลั่นบ่อยครั้งเพื่อยืดอายุการใช้งาน
หรือหากใช้งานรถยนต์ในเมืองเป็นหลัก ระยะทางไม่ไกล สตาร์ทบ่อยครั้ง และผู้ใช้รถไม่มีเวลาใส่ใจ ดูแลรักษามากนัก ก็เหมาะสมกว่าที่จะเลือกใช้แบตเตอรี่ประเภท SMF (Sealed Maintenance Free) ไปเลย
หากเราเลือกแบตเตอรี่ได้เหมาะสมแล้ว จะช่วยยืดอายุการใช้งานให้ยาวนานขึ้นได้ ประหยัดค่าใช้จ่าย และใช้งานแบตฯ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ